W.D. Gann หรือ William Delbert Gann (1878-1955) นักลงทุนชาวอเมริกัน มีชื่อเสียงจากการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการเทรด หุ้น,สินค้าโภคภัณฑ์สามารถใช้กับอีกหลายอย่าง เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้บุกเบิกวิธีการเทรดที่ใช้เลขและเรขา ประวัติของเขาน่าสนใจเพราะเขามีแนวคิดเกี่ยวกับตลาดที่แตกต่างและน่าสนใจ นี้คือข้อมูลเกี่ยวกับ Gann:
ประวัติ
- เกิด: 6 มิถุนายน ค.ศ. 1878 ในครอบครัวชาวไร่ฝ้ายในเมือง Lufkin รัฐเท็กซัส
- การศึกษา: เนื่องจากฐานะครอบครัว จึงไม่ได้เรียนสูงและทำงานตั้งแต่เด็ก
- เข้าสู่ตลาดการเงิน: Gann เริ่มสนใจการลงทุนและตลาดหุ้นตั้งแต่อายุ 24 ปี โดยย้ายไปนิวยอร์กและเริ่มทำงานในวอลล์สตรีท
แนวคิดและวิธีการวิเคราะห์
การวิเคราะห์โดย เลขคณิต และ เรขาคณิต:
- Gann Angles: หนึ่งในวิธีการที่โด่งดังที่สุดของเขาคือ "Gann Angles" ซึ่งใช้การวาดเส้นทแยงมุมในกราฟราคา เส้นเหล่านี้ช่วยระบุแนวรับและแนวต้านในอนาคต โดยใช้มุม 45 องศาเป็นมุมหลัก
- Gann Square of Nine: ตารางที่ใช้เพื่อคำนวณแนวรับแนวต้านที่สำคัญ โดยใช้เลขลำดับและมุมทางเรขาคณิต
- Gann Fan: เส้นแนวโน้มที่วาดจากจุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดของราคา โดยเส้นจะมีมุมเฉพาะ (เช่น 1x1, 1x2, 2x1) ซึ่งแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาต่าง ๆ
ทฤษฎีวัฏจักร (Cycle Theory):
- Gann เชื่อว่าตลาดเคลื่อนไหวตามวัฏจักรซ้ำ ๆ ซึ่งมีพื้นฐานจากวงจรของเวลา เช่น วงจร 30 ปี, วงจร 90 ปี และอื่น ๆ เขาศึกษาการเปลี่ยนแปลงของตลาดโดยใช้หลักการทางโหราศาสตร์ (Astrology) และการคำนวณทางตัวเลข
- เขาเชื่อว่าเวลาเป็นปัจจัยสำคัญในการเคลื่อนไหวของราคา โดยมีคำพูดที่โด่งดังว่า "เมื่อเวลาและราคาบรรจบกัน นั่นคือเวลาที่ต้องซื้อขาย"
การวิเคราะห์เวลา (Time Analysis):
- Gann ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์เวลามาก เขาใช้เวลาเป็นตัวแปรในการหาจุดกลับตัวของตลาด (Time Cycle) โดยดูจากวันสำคัญ เช่น วันเกิดของตลาด (Anniversary Dates) และการคำนวณวงจรเวลา
ผลงานที่สำคัญ
การเทรดที่มีชื่อเสียง: ในปี 1909 เขาสามารถทำกำไรได้ 1,000% ในการเทรดหุ้นระยะเวลา 25 วัน ซึ่งเป็นที่เล่าขานว่าเขาทำนายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้อย่างแม่นยำ
ข้อโต้แย้งและความเชื่อ
- โหราศาสตร์และตัวเลข: หลายคนเชื่อว่า Gann ใช้หลักการทางโหราศาสตร์ในการวิเคราะห์ตลาด เช่น การคำนวณวงจรดาวและตัวเลข เขาเป็นผู้ใช้วิธีการที่ไม่ค่อยมีใครเข้าใจและเต็มไปด้วยความลึกลับ
- ข้อโต้แย้ง: แม้จะมีผู้เชื่อว่าหลักการของ Gann สามารถใช้ได้ผลจริง แต่ก็มีหลายคนที่มองว่ามันเป็นเพียงแค่ "โชคดี"
มรดกและอิทธิพล
- วิธีการของ Gann ยังคงมีการศึกษาและใช้ในปัจจุบัน โดยมีผู้ติดตามและนักลงทุนที่ใช้ Gann Angles, Gann Fan, และการวิเคราะห์วงจรเวลาของเขา
- หลักสูตรและโปรแกรมซอฟต์แวร์มากมายได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้วิเคราะห์ตลาดตามหลักการของ Gann
W.D. Gann เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค แม้ว่าแนวคิดของเขาจะมีข้อโต้แย้งและเป็นที่ถกเถียง แต่เขาก็ยังคงได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการเทรดที่มีแนวคิดแตกต่างจากผู้อื่นและสามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาลในช่วงชีวิตของเขา
หากคุณสนใจที่จะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดของ Gann อาจต้องใช้เวลาในการเรียนรู้และฝึกฝน เพราะวิธีการของเขาไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจในครั้งแรก แต่ถ้าสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการวิเคราะห์ตลาดอย่างดี
1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับตลาดหุ้น (Stock Tape Reading)
- Tape Reading เป็นคำที่ใช้ในการอ่านและวิเคราะห์การซื้อขายหุ้นจาก "Stock Tape" หรือข้อมูลการซื้อขายแบบ Real-time ที่ใช้ในอดีต
- Gann แนะนำให้นักลงทุนศึกษาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ปริมาณการซื้อขาย และพฤติกรรมของตลาด เขาเชื่อว่าการสังเกตการเคลื่อนไหวเหล่านี้อย่างใกล้ชิดจะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความต้องการและความสนใจของนักลงทุนในตลาด
- การอ่าน Tape ไม่ได้หมายถึงการใช้ข้อมูลย้อนหลังหรือแผนภูมิ แต่เป็นการสังเกตและวิเคราะห์ข้อมูลแบบสดเพื่อตัดสินใจลงทุน
2. จิตวิทยาของนักลงทุน (Market Psychology)
- Gann ให้ความสำคัญกับจิตวิทยาของนักลงทุนเป็นอย่างมาก เขาเชื่อว่าความกลัวและความโลภเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดเคลื่อนไหว
- นักลงทุนต้องมีการควบคุมอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองให้ดี โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ตลาดมีความผันผวน
- Gann กล่าวว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้มากที่สุด แต่เป็นผู้ที่มีวินัยและสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีที่สุด
3. หลักการซื้อขายที่สำคัญ (Trading Rules)
- Gann ได้สรุปกฎการซื้อขายหลายข้อที่เขาใช้เอง เช่น
- ไม่ซื้อหุ้นที่สูงเกินไปหรือขายหุ้นที่ต่ำเกินไป: เขาเน้นให้ซื้อเมื่อราคาหุ้นอยู่ในช่วงที่เป็นธรรม ไม่ใช่ในช่วงที่ราคาเคลื่อนไหวสุดขีดแล้ว
- อย่าไล่ตามราคา: นักลงทุนไม่ควรซื้อหุ้นเพียงเพราะราคาขึ้นหรือลงเร็วเกินไป แต่ควรรอจังหวะที่ตลาดมีการปรับตัว
- ใช้ Stop Loss: การจำกัดการขาดทุนเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันการสูญเสียครั้งใหญ่
4. การจัดการเงิน (Money Management)
- Gann เชื่อว่าการบริหารจัดการเงินเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุน โดยแนะนำให้จำกัดการใช้เงินลงทุนต่อการซื้อขายหนึ่งครั้ง และให้มีการกระจายความเสี่ยง
- นักลงทุนควรมีแผนการซื้อขายที่ชัดเจนและกำหนดจุดเข้าซื้อ จุดขาย และจุดตัดขาดทุนอย่างเป็นระบบ
5. แนวโน้มและวัฏจักรของตลาด (Market Trends and Cycles)
- Gann เน้นให้ศึกษาและเข้าใจแนวโน้มของตลาดว่ากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง
- เขาเชื่อว่าการสังเกตแนวโน้มและวัฏจักรของตลาดสามารถช่วยให้นักลงทุนเลือกจุดเข้าซื้อและขายได้ดีขึ้น
- แนวคิดนี้เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ Gann ใช้ โดยเขาให้ความสำคัญกับ "Time" และ "Price" ที่ต้องสัมพันธ์กันในการคำนวณวัฏจักรการเคลื่อนไหวของราคา
6. วิธีการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของราคา (Price Analysis)
- ในหนังสือ Gann อธิบายถึงการวิเคราะห์ราคาที่เน้นไปที่การดูรูปแบบการเคลื่อนไหว (Price Pattern) และระดับราคาแนวรับ-แนวต้าน
- เขาใช้การวิเคราะห์ "Swing" ในการหาแนวโน้มระยะสั้นและระยะยาว และให้คำแนะนำในการเข้าเทรดเมื่อราคาอยู่ใกล้กับระดับแนวรับและแนวต้านสำคัญ
7. บทเรียนจากประสบการณ์ (Lessons from Experience)
- Gann ได้ถ่ายทอดบทเรียนที่เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์การเทรดกว่า 20 ปี รวมถึงความผิดพลาดที่ทำให้เขาได้เรียนรู้วิธีการใหม่ๆ
- เขาแนะนำให้นักลงทุนศึกษาประวัติศาสตร์ของตลาดและเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง
8. เคล็ดลับการลงทุน (Investment Tips)
- Gann แนะนำว่าไม่ควรเชื่อข่าวลือหรือข้อมูลที่ไม่มีแหล่งที่มาเชื่อถือได้
- เขาเชื่อในการลงทุนระยะยาว แต่แนะนำให้มีการวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์อยู่เสมอเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของตลาด
การเข้าใจการเทรดในตลาดหุ้นอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของจิตวิทยาและการจัดการเงิน เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการเรียนรู้แนวคิดของ Gann ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการเข้าใจพฤติกรรมของตลาด
Gann ประสบการณ์ของเขาเป็นแนวทางการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ หลักการส่วนสำคัญยังคงถูกใช้และเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันในหมู่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคและนักลงทุนทั่วโลก
1. การวิเคราะห์แนวโน้ม (Trend Analysis)
- การระบุแนวโน้ม: Gann เน้นให้ดูแนวโน้มของตลาดก่อนตัดสินใจซื้อขาย แบ่งแนวโน้มเป็น 3 ประเภทหลัก:
- แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend): ราคาหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) และจุดต่ำสุดใหม่ (Higher Low)
- แนวโน้มขาลง (Downtrend): ราคาหุ้นทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) และจุดสูงสุดใหม่ (Lower High)
- แนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ (Sideways/Consolidation): ราคาหุ้นเคลื่อนไหวในช่วงแนวรับและแนวต้าน ไม่ทำจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดใหม่
- การใช้เส้นแนวโน้ม (Trend Line): วาดเส้นแนวโน้มเพื่อระบุทิศทางของราคา โดยเชื่อมต่อจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (ขาขึ้น) หรือจุดสูงสุดที่ต่ำลง (ขาลง)
ตัวอย่าง:
- หากเส้นแนวโน้มขาขึ้นถูกทำลาย (ราคาปรับตัวลงต่ำกว่าเส้นแนวโน้ม) จะเป็นสัญญาณให้พิจารณาขาย
- หากเส้นแนวโน้มขาลงถูกทำลาย (ราคาปรับตัวขึ้นเหนือเส้นแนวโน้ม) จะเป็นสัญญาณให้พิจารณาซื้อ
2. Swing Chart (กราฟสวิง)
- Gann ใช้ Swing Chart เพื่อระบุแนวโน้มของตลาดและการเปลี่ยนแปลงของราคา โดยจะเน้นการเปลี่ยนแปลงของ "Swing High" และ "Swing Low"
- Swing High: จุดสูงสุดที่ราคาหุ้นไม่สามารถทำจุดสูงขึ้นอีกได้ในช่วงเวลานั้น
- Swing Low: จุดต่ำสุดที่ราคาหุ้นไม่สามารถทำจุดต่ำลงอีกได้ในช่วงเวลานั้น
- การเคลื่อนไหวระหว่าง Swing High และ Swing Low ใช้เป็นสัญญาณในการเข้าซื้อขาย เช่น:
- ซื้อเมื่อราคาทะลุ Swing High
- ขายเมื่อราคาทะลุ Swing Low
ตัวอย่าง:
- หากราคาหุ้นเคลื่อนไหวในขาขึ้นและมีการปรับฐานลงมาแต่ไม่ต่ำกว่า Swing Low ก่อนหน้า แสดงว่าราคายังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
- หากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแล้วไม่สามารถทะลุ Swing High ก่อนหน้าได้ แสดงว่าอาจเริ่มเข้าสู่แนวโน้มขาลง
3. Gann Angles
- Gann Angle เป็นเครื่องมือที่ W.D. Gann ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด โดยจะวาดเส้นจากจุดต่ำสุดหรือจุดสูงสุดของราคาในมุมต่าง ๆ เช่น 45 องศา (1x1), 26.25 องศา (2x1) หรือ 63.75 องศา (1x2)
- มุม 45 องศา (1x1): Gann เชื่อว่าเป็นมุมที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการเคลื่อนไหวของราคาที่สัมพันธ์กันระหว่างราคาและเวลาแบบเท่ากัน
- Gann Angle จะช่วยระบุแนวรับและแนวต้านในอนาคต หากราคาทะลุเส้น 1x1 จะบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
ตัวอย่างการใช้:
- วาดเส้น 1x1 จากจุดต่ำสุดของราคาและใช้เป็นแนวรับ ถ้าราคาทะลุลงต่ำกว่าเส้น 1x1 อาจบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นแนวโน้มขาลง
- วาดเส้น 1x2 หรือ 2x1 เพื่อหาแนวต้านและแนวรับเพิ่มเติม
4. การใช้ Volume (ปริมาณการซื้อขาย)
- Gann ให้ความสำคัญกับ Volume เป็นพิเศษ โดยถือว่าเป็น "แรงขับเคลื่อน" ของราคา
- หากราคาปรับตัวขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น แสดงว่าเป็นการยืนยันถึงแนวโน้มขาขึ้น
- หากราคาปรับตัวลงพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้น อาจเป็นสัญญาณการกลับตัวลง
ตัวอย่าง:
- ในกรณีที่ราคาเริ่มปรับตัวขึ้นแต่ Volume ลดลง อาจบ่งบอกถึงความอ่อนแอของแนวโน้มขาขึ้นและอาจเกิดการกลับตัว
- เมื่อราคาหุ้นเกิดการปรับตัวลงแต่ Volume ลดลง อาจบ่งบอกว่าการขายเริ่มลดน้อยลงและอาจกลับมาเป็นแนวโน้มขาขึ้น
5. Pivot Points (จุดกลับตัว)
- Gann ใช้ Pivot Points ในการระบุแนวรับและแนวต้าน โดยหาจุดสูงสุดและต่ำสุดของช่วงเวลาก่อนหน้าเพื่อคำนวณจุด Pivot
- จุด Pivot เป็นเส้นทางจิตวิทยาที่นักลงทุนมักให้ความสนใจ หากราคาทะลุผ่าน Pivot จะบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวของตลาดในทิศทางนั้น ๆ
- สูตรการคำนวณ Pivot Point:
ตัวอย่าง:
- ถ้าราคาปรับตัวขึ้นและผ่าน Pivot Point อาจเป็นสัญญาณเข้าซื้อ
- ถ้าราคาปรับตัวลงและทะลุผ่าน Pivot Point อาจเป็นสัญญาณขาย
สรุปการนำไปใช้:
- เริ่มจากการวิเคราะห์แนวโน้มหลักของตลาดโดยใช้ Swing Chart เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของ Swing High และ Swing Low
- ใช้ Gann Angles เพื่อวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านในอนาคต
- ตรวจสอบปริมาณการซื้อขาย (Volume) เพื่อยืนยันแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคา
- ใช้ Pivot Points ในการหาจุดกลับตัวและวิเคราะห์แนวรับแนวต้านเพิ่มเติม
การนำเทคนิคของ Gann มาใช้ต้องอาศัยการฝึกฝนและการวิเคราะห์ย้อนหลัง เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบการเคลื่อนไหวของราคาและแนวโน้มในระยะยาว การใช้เทคนิคเหล่านี้ร่วมกันจะช่วยให้คุณวิเคราะห์และตัดสินใจซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หลักการการลงทุนและวิเคราะห์ทางเทคนิคในมุมมองของ Gann
William D. Gann เป็นที่รู้จักจากแนวทางการวิเคราะห์ตลาดที่ผสมผสานระหว่าง ศาสตร์ทางเทคนิค และ หลักการคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะการนำแนวคิดเรื่องวัฏจักรและรูปแบบซ้ำในประวัติศาสตร์มาใช้คาดการณ์แนวโน้มในตลาดหลักทรัพย์ อธิบายถึงแนวคิดเหล่านี้อย่างชัดเจน
1. ทฤษฎีวัฏจักร (Cycles Theory)
Gann เชื่อว่าตลาดการเงินเป็นไปตาม วัฏจักรธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งอาจเกิดจากเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือพฤติกรรมของมนุษย์
วัฏจักรเวลา (Time Cycles):
Gann ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของราคาที่สัมพันธ์กับช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น:- วัฏจักรระยะสั้น (Short-Term Cycles): มักเกิดในช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์หรือเดือน
- วัฏจักรระยะยาว (Long-Term Cycles): ครอบคลุมระยะเวลาหลายปี
Gann ระบุว่าสามารถใช้วัฏจักรเหล่านี้เพื่อระบุช่วงเวลา "จุดกลับตัวที่สำคัญ" ในตลาดได้
ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตและอนาคต:
Gann ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมของตลาดมักสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ในอดีต เช่น ราคาสินทรัพย์ที่เคยถึงจุดสูงสุดในปีหนึ่ง อาจเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงเวลาที่คล้ายกันวัฏจักรเลขคณิต:
Gann ใช้ตัวเลขและรูปทรงเรขาคณิต เช่น วงกลม (360 องศา) เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเวลาและราคา ตัวอย่างเช่น การใช้ตัวเลข 90, 180, 270, และ 360 องศา เพื่อคาดการณ์จุดสูงสุด (Highs) และจุดต่ำสุด (Lows)
2. หลักการเลขคณิตและรูปแบบทางเทคนิค
Gann มีความโดดเด่นในเรื่องการใช้ คณิตศาสตร์ และ รูปแบบทางเรขาคณิต เพื่อสร้างกฎและเครื่องมือวิเคราะห์ เช่น
Gann Angles (มุมของ Gann):
แนวคิดสำคัญคือการเชื่อมโยงราคากับเวลา โดยสร้างกราฟที่มีมุมต่างๆ เช่น 1x1, 1x2, และ 2x1 เพื่อแสดงถึงอัตราการเคลื่อนไหว (speed of movement) ของตลาด- มุม 1x1: บ่งชี้ถึงความสมดุลระหว่างราคาและเวลา
- มุมที่สูงกว่า 1x1 (เช่น 2x1): แสดงถึงแนวโน้มราคาที่แข็งแกร่งขึ้น
- มุมที่ต่ำกว่า 1x1 (เช่น 1x2): แสดงถึงแนวโน้มราคาที่อ่อนแอลง
กราฟราคาและเวลา (Price-Time Chart):
Gann เชื่อว่าการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดไม่ได้เป็นแบบสุ่ม แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่าง "ระยะเวลาที่ตลาดใช้" กับ "ระดับราคาที่ตลาดเคลื่อนไหว"
3. การระบุรูปแบบซ้ำ (Recurring Patterns)
- การวิเคราะห์ข้อมูลในอดีต:
Gann มักศึกษาประวัติการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ในอดีตเป็นเวลาหลายสิบปี เพื่อระบุรูปแบบซ้ำที่อาจบ่งบอกถึงทิศทางในอนาคต - พฤติกรรมมนุษย์และตลาด:
Gann เชื่อว่าพฤติกรรมของนักลงทุนในอดีตมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นซ้ำในสถานการณ์ที่คล้ายกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการเกิดรูปแบบที่คาดการณ์ได้
4. เครื่องมือและกฎพื้นฐานของ Gann
Gann สร้างเครื่องมือและกฎหลายอย่างเพื่อช่วยนักลงทุนวิเคราะห์ตลาด เช่น:
- Square of Nine: ตารางที่ใช้ตัวเลขเพื่อช่วยคาดการณ์จุดกลับตัวสำคัญ
- Hexagon Chart และ Circle Chart: ใช้ในการระบุความสัมพันธ์ของราคาและเวลาในมุมต่างๆ
5. ข้อสรุปและการนำไปใช้
การวิเคราะห์ทางเทคนิคของ Gann สร้างความเข้าใจว่าตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวแบบสุ่ม แต่มีรูปแบบซ้ำและความสัมพันธ์ระหว่างราคาและเวลา การประยุกต์ใช้หลักการของ Gann ต้องการการศึกษาและการฝึกฝนอย่างจริงจัง เพราะหลักการเหล่านี้มีความซับซ้อนและต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางตัวเลขและการอ่านกราฟ
ตัวอย่างการใช้ในปัจจุบัน:
เทรดเดอร์ที่สนใจแนวทางของ Gann มักนำหลักการมาปรับใช้กับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น Fibonacci Retracement, Elliott Wave, หรือการวิเคราะห์แนวรับ-แนวต้าน
การคำนวณวัฏจักรและการใช้เครื่องมือเฉพาะของ Gann เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีพื้นฐานจากหลักการทางคณิตศาสตร์และเรขาคณิต เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น นี่คือการขยายรายละเอียดเพิ่มเติม:
1. Gann Angles (มุมของ Gann)
เครื่องมือนี้เป็นกราฟที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างราคาและเวลา โดยเน้นการวัดอัตราการเคลื่อนไหวของราคาเมื่อเปรียบเทียบกับเวลา
หลักการพื้นฐาน:
เส้นมุม (Angles) แสดงอัตราการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของราคาต่อช่วงเวลา เช่น- มุม 1x1: ราคาขยับขึ้น 1 หน่วยทุก 1 ช่วงเวลา (เช่น 1 ดอลลาร์ต่อวัน)
- มุม 2x1: ราคาขยับขึ้น 2 หน่วยในช่วงเวลาเดียวกัน
- มุม 1x2: ราคาขยับขึ้นเพียง 1 หน่วยในช่วงเวลา 2 หน่วย
การใช้มุมในการวิเคราะห์:
- วาดกราฟโดยให้ราคาคงที่ตามแนวนอน และเวลาเป็นแกนตั้ง
- สังเกตเส้นมุมที่ตัดกัน เช่น
- หากราคาเคลื่อนที่ใกล้เส้น 1x1 บ่งชี้ถึงความสมดุล
- หากราคาเบี่ยงออกจากเส้น 1x1 อย่างมีนัยสำคัญ แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
- เส้นมุมสามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านได้
2. Square of Nine (ตาราง 9 ช่อง)
Square of Nine เป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการคาดการณ์ราคาและเวลา โดยมีพื้นฐานมาจากการจัดเรียงตัวเลขในรูปแบบเกลียว (Spiral)
วิธีสร้าง Square of Nine:
- เริ่มต้นด้วยหมายเลข 1 ตรงกลาง
- หมายเลขถัดไปเรียงตามทิศทางตามเข็มนาฬิกาในลักษณะวงกลม
- ตัวเลขแต่ละลำดับมีระยะห่างเท่าๆ กัน
การใช้ Square of Nine:
- การคาดการณ์ราคา:
คำนวณจุดสำคัญในอนาคตโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างมุมองศากับตัวเลข เช่น- ตัวเลขที่อยู่ตรงกันข้ามกันในตาราง (180 องศา) มักเป็นจุดกลับตัวของราคา
- การจับคู่ราคาและเวลา:
หากจุดสำคัญในตารางสัมพันธ์กับเวลาในอนาคต จุดนั้นอาจเป็นจุดกลับตัว (Reversal Point)
- การคาดการณ์ราคา:
ตัวอย่างการคำนวณ:
หากราคาปัจจุบันอยู่ที่ 50 และเราคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้น มองหาตัวเลขถัดไปในตาราง (เช่น 61.8 หรือ 72) เพื่อระบุแนวต้าน
3. Time Cycles (วัฏจักรเวลา)
Gann เชื่อว่าตลาดเคลื่อนที่ตามรอบเวลาซ้ำๆ ซึ่งสามารถใช้คาดการณ์จุดสูงสุดและต่ำสุดได้
การคำนวณวัฏจักรเวลา:
- ศึกษาประวัติราคาย้อนหลังเพื่อระบุรอบเวลา
- ใช้ตัวเลขสำคัญ เช่น
- วัฏจักร 7 ปี: มักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่
- วัฏจักร 30 ปี: เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
- วัฏจักร 90 ปี: สำหรับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์
ตัวอย่าง:
หากพบว่าตลาดมีแนวโน้มกลับตัวทุก 90 วัน เราสามารถคำนวณวันสำคัญในอนาคตโดยนับ 90 วันจากจุดปัจจุบัน
4. Circle of 360 Degrees (วงกลม 360 องศา)
เครื่องมือนี้ใช้หลักการเรขาคณิต โดยถือว่าวงกลมหนึ่งรอบมี 360 องศา ซึ่ง Gann เชื่อว่าสามารถเชื่อมโยงระหว่างราคาและเวลาผ่านองศาได้
การคำนวณ:
ใช้สูตรพื้นฐานในการแปลงราคาหรือเวลาให้สัมพันธ์กับองศา เช่นหรือ
การวิเคราะห์:
จุดที่สัมพันธ์กับมุมสำคัญ (เช่น 90°, 180°, 270°, 360°) มักเป็นจุดกลับตัวของตลาด
5. Hexagon Chart (ตารางหกเหลี่ยม)
Hexagon Chart คือการจัดเรียงตัวเลขในรูปแบบหกเหลี่ยม โดยใช้เลขคู่ที่สัมพันธ์กับราคาและเวลา
- การใช้งาน:
- กำหนดราคาหรือเวลาเริ่มต้น
- สังเกตตัวเลขรอบๆ ที่สัมพันธ์กับจุดเริ่มต้น เช่น
- หากตัวเลขรอบจุดนั้นเป็นตัวเลข Fibonacci หรือมีความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ อาจเป็นสัญญาณในการลงทุน
6. กฎ 50% Retracement (การย้อนกลับ 50%)
Gann เน้นว่าเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลง มักจะกลับมายังระดับ 50% ของการเคลื่อนไหวเดิม
- วิธีใช้งาน:
- วัดช่วงระหว่างจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low)
- คำนวณระดับ 50%:
- ใช้ระดับนี้เป็นแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ
การนำไปใช้จริง
เครื่องมือและวัฏจักรของ Gann ต้องอาศัยการฝึกฝนและการทดลองในสถานการณ์จริง เพราะความแม่นยำขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ประวัติราคา ความผันผวนของตลาด และข้อมูลที่ใช้ หากเข้าใจวิธีใช้ สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือสมัยใหม่ เช่น Fibonacci Retracement หรือ Moving Average ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
No comments:
Post a Comment