การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวิเคราะห์และพิจารณาจังหวะการเข้าซื้อหรือขายหุ้น โดยการอิงจากข้อมูลราคาในอดีตและปริมาณการซื้อขาย หลักการพื้นฐานคือการเชื่อว่าราคาหุ้นสะท้อนทุกปัจจัยที่มีผลต่อราคานั้นอยู่แล้ว การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเน้นไปที่การหาสัญญาณเพื่อบอกแนวโน้ม (Trends) หรือจุดกลับตัว (Reversal) ของราคาหุ้น
ต่อไปนี้เป็นเทคนิคและตัวชี้วัด (Indicators) หลักที่นักลงทุนมักใช้งาน
1. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการหาแนวโน้ม โดยเป็นการคำนวณราคาเฉลี่ยของหุ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
- SMA (Simple Moving Average): เป็นค่าเฉลี่ยเลขคณิตของราคาหุ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น ค่าเฉลี่ย 50 วันหรือ 200 วัน ใช้ในการหาแนวโน้มใหญ่ของราคา
- EMA (Exponential Moving Average): ให้น้ำหนักกับราคาล่าสุดมากกว่าราคาในอดีต ใช้เพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็ว เช่น การใช้ EMA 12 วันกับ EMA 26 วันร่วมกันเพื่อสร้างสัญญาณในการซื้อขาย
ตัวอย่างการใช้เส้นค่าเฉลี่ย:
- Golden Cross: เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น (เช่น 50 วัน) ตัดขึ้นผ่านเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (เช่น 200 วัน) บ่งบอกแนวโน้มขาขึ้น
- Death Cross: เมื่อเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดลงผ่านเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว บ่งบอกแนวโน้มขาลง
2. ตัวชี้วัดโมเมนตัม (Momentum Indicators)
เครื่องมือกลุ่มนี้ช่วยวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาและหาจุดที่ราคามีการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
- RSI (Relative Strength Index): เป็นตัวชี้วัดโมเมนตัมที่นิยมใช้ในการวัดระดับความแข็งแกร่งของราคาหุ้น โดยมีค่าในช่วง 0-100 หาก RSI > 70 แปลว่าซื้อมากเกินไป (Overbought) ซึ่งอาจมีการปรับฐานราคา และหาก RSI < 30 แปลว่าขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งอาจมีการดีดตัวขึ้น
- MACD (Moving Average Convergence Divergence): เป็นตัวชี้วัดการเคลื่อนไหวของแนวโน้ม โดยการดูการตัดกันของเส้น MACD Line และ Signal Line บ่งชี้จังหวะเข้าซื้อหรือขาย
3. Bollinger Bands
Bollinger Bands เป็นกรอบที่ประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยกลาง (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่) และเส้นขอบบน-ล่าง ซึ่งสร้างจากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
- เมื่อราคาหุ้นแตะขอบบน อาจบ่งบอกถึงการซื้อมากเกินไป และมีโอกาสที่ราคาจะปรับฐานลง
- เมื่อราคาหุ้นแตะขอบล่าง อาจบ่งบอกถึงการขายมากเกินไป และมีโอกาสที่ราคาจะดีดตัวขึ้น
- หากกรอบ Bollinger Bands แคบลงมาก เรียกว่า Bollinger Squeeze ซึ่งบ่งชี้ถึงการสะสมของแรงซื้อหรือขาย และเมื่อมีการขยายตัวมักนำไปสู่การเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนขึ้น
4. รูปแบบของกราฟ (Chart Patterns)
การดูรูปแบบของกราฟเป็นอีกหนึ่งเทคนิคในการคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา
- Head and Shoulders: หากเห็นรูปแบบนี้ อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง (Head and Shoulders Top) หรือจากขาลงเป็นขาขึ้น (Head and Shoulders Bottom)
- Double Top และ Double Bottom: เป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้ม หากเกิด Double Top อาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง และในกรณีของ Double Bottom อาจบ่งชี้แนวโน้มจากขาลงเป็นขาขึ้น
5. Volume Analysis (การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย)
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายสามารถช่วยยืนยันแนวโน้ม
- หากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้น บ่งบอกถึงความเชื่อมั่นในแนวโน้มขาขึ้น
- หากราคาลดลงพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้น บ่งบอกถึงแนวโน้มขาลงที่ชัดเจน
6. Fibonacci Retracement
Fibonacci เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้ในการหาจุดกลับตัว โดยวัดจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ผ่านมาและแบ่งเป็นสัดส่วน (ระดับต่าง ๆ ของ Fibonacci เช่น 38.2%, 50%, และ 61.8%) ที่ราคามักมีโอกาสกลับตัว
การผสมผสานตัวชี้วัดและการยืนยันสัญญาณ
การใช้งานตัวชี้วัดหลายตัวในการยืนยันสัญญาณจะเพิ่มความแม่นยำ เช่น:
- ใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ร่วมกับ MACD และ RSI เพื่อหาจุดเข้าซื้อเมื่อมีสัญญาณยืนยันจากทั้งสามตัวชี้วัด
- การใช้ Bollinger Bands เพื่อจับจังหวะการกลับตัวโดยดูร่วมกับการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขาย
การผสมผสานตัวชี้วัดนี้เป็นการลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก และช่วยเพิ่มโอกาสในการจับจังหวะที่เหมาะสม
73 songpon rd.,potharam,ratchaburi,thailand
ReplyDelete